สศค.ชี้รัฐบาลรับมือโควิดได้ดีส่งผลจีดีพีปี64ขยายตัวดีกว่าคาด

สศค.ชี้รัฐบาลรับมือโควิดได้ดีส่งผลจีดีพีปี64ขยายตัวดีกว่าคาด

สศค.ชี้จีดีพีปี 64 ขยายตัว1.6% ดีกว่าที่คาด สะท้อนรัฐบาลรับมือโควิด-19 ได้ดี ขณะที่ ไม่ห่วงปัญหาหนี้ครัวเรือน ระบุ การก่อหนี้เพื่อประกอบอาชีพมีสัดส่วนสูงกว่า 65% ของหนี้ทั้งหมด

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)กล่าวถึงกรณีสภาพัฒน์แถลงจีดีพีปี 64 ขยายตัวที่ 1.6%ว่า เป็นเพราะได้รับอานิสงส์จากไตรมาสที่ 4 ที่ภาคการบริโภคของภาคเอกชนกลับมาขยายตัวได้ดีขึ้นจากที่มองว่า จะไม่ขยายตัวได้มาก ขณะเดียวกัน การเบิกจ่ายการลงทุนภาครัฐก็ดีขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ ฉะนั้น ไตรมาสที่ 4 จึงเป็นไตรมาสที่เศรษฐกิจขยายตัวได้ดีกว่าที่ประเมิน โดยขยายตัวได้ถึง 1.9% ทำให้ทั้งปีสามารถขยายตัวได้ในระดับดังกล่าว

“ในส่วนนี้ คงสะท้อนให้เห็นถึงการรับมือโควิด-19 ได้อย่างชัดเจน หลังจาก ที่รัฐบาลมีแผนในการป้องกันและรักษา รวมถึง การใช้เงินกู้ได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดในการดูแลภาคส่วนต่างๆ และได้ส่งผลให้การขยายตัวเศรษฐกิจดีกว่าที่คาดการณ์ โดยสภาพัฒน์ กระทรวงการคลัง ก็คาดการณ์จะขยายตัวได้เพียง 1.2% และแบงก์ชาติก็คาดขยายตัวได้ 1%กว่าๆเท่านั้น”

ส่วนกรณีสภาพัฒน์มีความเป็นห่วงเกี่ยวกับปัญหาหนี้ครัวเรือนและจะมาหารือกับสศค.นั้น เขากล่าวว่า ขณะนี้ ยังไม่ได้รับการประสานงานจากสภาพัฒน์เพื่อหารือในเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ดี ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงนั้น จะต้องพิจารณาเรื่องของจีดีพีที่ขยายตัวได้ไม่มาก ซึ่งจะเป็นตัวหารที่ทำให้ระดับหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ในระดับสูงด้วย ทั้งที่ ระดับหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนๆด้วย

ทั้งนี้ ณ ไตรมาส 3 ของปี 64 ระดับหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 14.35 ล้านล้านบาท หรือ คิดเป็น 89.3% ของจีดีพี ซึ่งขยายตัวเพียงเล็กน้อยหรือ 4.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ฉะนั้น จะเห็นว่า อัตราขยายตัวของหนี้ครัวเรือนนั้น ไม่ได้ขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ

เขากล่าวด้วยว่า เมื่อพิจารณาจากไส้ในของหนี้ครัวเรือนจะพบว่า หนี้ครัวเรือนของไทยมีความต่างจากหนี้ครัวเรือนจากประเทศอื่น โดยการระดมทุนของหนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่นำมาเพื่อการประกอบอาชีพและก่อให้เกิดรายได้ค่อนข้างมากหรือมากกว่า 65% ของสัดส่วนหนี้ครัวเรือนทั้งหมด

“แต่ถามว่า หนี้ครัวเรือนน่าเป็นห่วงไหม โดยหลักการ คือ ใครที่มีหนี้ ก็น่าเป็นห่วงทั้งนั้น เพียงแต่ถ้าไปดูไส้ในก็เป็นหนี้ที่ใช้มาเพื่อก่อให้เกิดรายได้ แต่ส่วนหนี้ที่ไม่มากเท่าไหร่ก็คือหนี้เพื่อการบริโภค ฉะนั้น จะทำอย่างไรให้เขามีรายได้เพื่อชำระหนี้ คิดว่า เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่สภาพัฒน์เป็นห่วงมากกว่า”

ทั้งนี้ หนี้ครัวเรือนที่เกิดขึ้นนั้น เป็นหนี้ครัวเรือนที่ทำให้เกิดความมั่งคั่ง โดยนำไปซื้อสินทรัพย์และประกอบอาชีพเพื่อหารายได้ กรณีนำไปซื้อสินทรัพย์มีสัดส่วน 34.5% นำไปซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ซึ่งเราประเมินว่า การซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์นี้ เพื่อนำไปประกอบอาชีพ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 12.4% นำไปประกอบอาชีพ  20% ฉะนั้น คิดรวมๆแล้ว หนี้ครัวเรือนที่เกิดขึ้นนำไปประกอบอาชีพมากกว่า 65%

“เมื่อพิจารณาถึงความมั่นคงของสถาบันการเงิน จะพบว่า หนี้เสียยังอยู่ในระดับทรงตัว โดยอยู่ที่ 2.8-2.9% เท่านั้น”