มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเผย 100 วันหลัง “มิน อ่อง ลาย” ปฏิวัติ ทุบจีดีพีเมียนมาปี 64 ติดลบ 10% หวั่นฉุดส่งออกไทยหดตัว 1.3% สูญ 9.6 หมื่นล้าน
วันที่ 27 พฤษภาคม 2564 รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลกระทบจากการปฎิวัติในเมียนมา 100 วันหลังการปฎิวัติครั้งที่ 4 โดยพลเอกอาวุโส มิน อ่อง ลาย (MIN AUNG HLAING) ว่า คาดว่า GDP ในเมียนมาปี 2564 จะ -10% ถึง -20%
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ดร.วิวัฒน์ กรมดิษฐ์ ผู้อยู่เบื้องหลัง “บ้านกรมดิษฐ์” บ้านสวนลอยฟ้า
โดยไตรมาส 1 ปี 2564 ของเมียนมาหดตัว -2.5% สูญเสีย FDI 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ มีการว่างงาน 6 แสนคน จำนวนคนไม่มีอาหารกิน 3.4 ล้านคน ค่าเงินจ๊าดอ่อนค่า 18% (24/5/2564) และรายได้ของครัวเรือนเมียนมาลดลง 83% ราคาน้ำมันเพิ่ม 15% ราคาข้าวขายปลีกเพิ่ม 35% และราคาน้ำมันปาล์มขวดเพิ่ม 20% และบริษัทในเมียนมาที่หยุดดำเนินธุรกิจ คือ บริษัทเมียนมา 83% บริษัทญี่ปุ่น 68.4 และบริษัทตะวันตก 67%
“ขณะนี้มูลค่าการส่งออกของไทยไปเมียนมา คาดว่าจะ -51.6% ถึง – 82.2% หรือมีมูลค่าลดลง 60,670 ถึง 96,590 ล้านบาท ทำให้มูลค่าการส่งออกรวมของไทย -0.8% ถึง -1.3%”
สำหรับ 10 กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมเสี่ยงที่มีมูลค่าการส่งออกลดลงมาก เช่น น้ำมันสำเร็จรูป เครื่องจักรกล เหล็ก ผ้าผืน ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เภสัชภัณฑ์ เครื่องคอมพิวเตอร์ และเซรามิก
ขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภคเสี่ยงที่มีมูลค่าการส่งออกลดลงมากมี 15 รายการ เช่น เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว น้ำตาลทราย อาหารสัตว์ น้ำมันพืช โทรทัศน์ กุ้ง รองเท้า ผลิตภัณฑ์จากข้าว และเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร
“ประเทศที่มีมูลค่าการส่งออกไปเมียนมาลดลงมากที่สุดคือ จีน รองลงมาเป็นอาเซียน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหรัฐ ซึ่งหากเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียนที่มีมูลค่าการส่งออกไปเมียนมาลดลงมาก คือ ไทย สิงคโปร์ และเวียดนาม”
ทั้งนี้คาดว่า FDI ในเมียนมาปี 2564 จะ -76.1% ถึง -85.4% หรือมีมูลค่าหายไป 202,902 ล้านบาท ถึง 227,698 ล้านบาท
“FDI ของเมียนมาที่ลดลงจะอยู่ในกลุ่ม พลังงาน อุตสาหกรรม อสังหาริมทรัพย์ น้ำมันและก๊าซ ขนส่ง และนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น โดยมีโอกาสจะย้ายการลงทุนจากเมียนมาไป เวียดนาม อินโดนีเซีย กัมพูชา สปป. ลาว มาเลเซีย และไทย”